ประวัติการเล่นอาชีพ ของ แอนดี มาร์รี

ช่วงเริ่มต้น

มาร์รีเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 5 ปี ก่อนเริ่มเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการในปี 2005 ในระดับชาเลนเจอร์ และ ฟิวเจอร์ และคว้าแชมป์เอทีพีทัวร์ รายการแรกได้สำเร็จ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 ที่ซาน โฮเซ่ ประเทศสหรัฐฯ จากนั้น ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์​สแลมครั้งแรก ในศึกยูเอสโอเพน ปี 2008 แต่พ่ายให้กับ โรเจอร์ เฟเดเรอร์ ยอดผู้เล่นจากสวิตเซอร์แลนด์

มาร์รีในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนปี 2010

อย่างไรก็ตามเขาสามารถสร้างชื่อเสียงด้วยชนะเลิศรายการระดับมาสเตอร์ได้อย่างต่อเนื่องก่อนจะเข้าชิงแกรนด์สแลมได้เป็นรายการที่สองในอาชีพในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนปี 2010 ซึ่งเขาแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง ตามด้วยการแพ้ให้กับ นอวาก จอกอวิช ในออสเตรเลียนโอเพนปี 2011 ซึ่งเป็นการเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมรายการที่ 3 มาร์รีย์ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมหลังจากเข้าชิงชนะเลิศเป็นรายการที่ 4 ในการแข่งขันวิมเบิลดันปี 2012 โดยแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง

แชมป์แกรนด์สแลมรายการแรกและเหรียญทองโอลิมปิก (ค.ศ. 2012-2016)

ในช่วงเวลาต่อมาเส้นทางอาชีพของเขาก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและประสบความสำเร็จอย่างมากนับจากนั้นเมื่อเขาสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้แก่ทีมสหราชอาณาจักรได้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012[24] ก่อนจะคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมได้เป็นสมัยแรกในอาชีพด้วยการเอาชนะจอกอวิชได้ในรอบชิงชนะเลิศยูเอสโอเพนในเดือนกันยายนปีเดียวกัน โดยมาร์รีเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 76 ที่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมได้

ในปี 2013 มาร์รียังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการระดับแกรนด์สแลม ด้วยการผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมเป็นครั้งที่ 6 ก่อนจะแพ้ให้กับจอกอวิชไปอีกครั้ง และเขาต้องถอนตัวจากการแข่งขันเฟรนช์โอเพนเนื่องจากอาการบาดเจ็บ[25] ต่อมา เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่ตนเองและวงการเทนนิสสหราชอาณาจักรด้วยการคว้าตำแหน่งชนะเลิศวิมเบิลดันโดยเอาชนะจอกอวิชไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3 เซ็ตรวด โดยเขาถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ชนะเลิศวิมเบิลดันนับตั้งแต่ เฟร็ด เพอร์รี่ ทำได้ใน ค.ศ. 1936 ก่อนจะตกรอบ 8 คนสุดท้ายในรายการยูเอสโอเพน

มาร์รีคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้ในปี 2013 ทำให้เขาเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 77 ปีที่คว้าแชมป์วิมเบิลดันได้

สองฤดูกาลถัดมาในช่วงปี 2014-2015 มาร์รีไม่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศแกรนด์สแลมเพิ่มได้แม้แต่รายการเดียวโดยผลงานที่ดีที่สุดคือการเข้าชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 2015 ก่อนจะแพ้ให้กับจอกอวิชไปเป็นครั้งที่ 3 ในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ แต่มาร์รีก็ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับนานาชาติด้วยการพาทีมสหราชอาณาจักรคว้าตำแหน่งชนะเลิศเดวิสคัพได้ในปีนี้ซึ่งถือเป็นการชนะเลิศเดวิสสมัยที่ 10 ของทีม ในช่วงเวลาดังกล่าวมาร์รียังสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการระดับ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้หลายรายการด้วยกัน

สร้างประวัติศาสตร์ในกีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง (ค.ศ. 2016)

ในปี 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตของมาร์รีอย่างแท้จริง โดยเขาสามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ถึง 3 รายการในปีนี้โดยแม้จะแพ้ให้กับจอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนและเฟรนช์โอเพนไปทั้งสองรายการ แต่มาร์รีสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศวิมเบิลดันได้ซึ่งเป็นการชนะเลิศถ้วยระดับแกรนด์สแลมรายการที่ 3 ในอาชีพของเขา และในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล มาร์รีได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทชายเดี่ยวได้เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งมาร์รีถือเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทชายเดี่ยวได้ถึง 2 สมัย โดยมาร์รียังได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติสหราชอาณาจักรในพิธีเปิดการแข่งขันอีกด้วย[26][27] เขาจบฤดูกาลในปีนี้ด้วยการชนะเลิศรายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ได้ในเดือนพฤศจิกายนโดยเอาชนะจอกอวิชไปได้ในรอบชิงชนะเลิศและปิดท้ายด้วยการขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกเป็นครั้งแรกในอาชีพ โดยจากความสำเร็จทั้งหมดที่เขาทำได้ในปีนี้ ส่งผลให้มาร์รีเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถชนะเลิศรายการแกรนด์สแลม, รายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000, คว้าเหรียญทองโอลิมปิก และ จบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกได้ภายในปีเดียวกัน

อาการบาดเจ็บและช่วงขาลงในอาชีพ (ค.ศ. 2017-ปัจจุบัน)

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017 เป็นต้นมา มาร์รีไม่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมเพิ่มได้เลยและเขาเสียตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกให้แก่นาดัลในช่วงกลางปี 2017 โดยเขาเริ่มมีอาการบาดเจ็บบริเวณสะโพกรบกวนซึ่งเรื้อรังมานานและอาการดังกล่าวกำเริบขึ้นจนส่งผลต่อการเล่นในการแข่งขันวิมเบิลดัน โดยมาร์รีแพ้ให้กับ แซม แควร์รี่ย์ จากสหรัฐอเมริกาในรอบ 8 คนสุดท้ายในการแข่งขัน 5 เซตทั้งที่เป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 2-1 เซต โดยเขามีอาการบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นเซตที่ 3 ของการแข่งขันทำให้เขาพลาดลงแข่งขันในรายการสำคัญที่เหลือทุกรายการในปีนี้ได้แก่ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 สามรายการที่มอนทรีออล, ซินซินแนติ และ ปารีส รวมทั้งพลาดการแข่งขันในแกรนด์สแลมยูเอสโอเพน และ รายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ที่กรุงลอนดอน

มาร์รีเข้ารับการผ่าตัดสะโพกสองครั้งในปี 2018[28] และ 2019[29] และเขายังไม่สามารถเรียกฟอร์มการเล่นที่ดีกลับมาได้อีกเลยเนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม[30] เขาเคยประกาศเลิกเล่นหลังจบรายการออสเตรเลียนโอเพนในปี 2019 แต่ได้ตัดสินใจลงทำการแข่งขันใน เอทีพี ทัวร์ ต่อจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเขายังไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดเพิ่มได้เลยและปัจจุบันอันดับโลกของมาร์รีตกไปอยู่ถึงอันดับที่ 123

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 เขาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทำให้เขาพลาดลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนและได้พักจากการแข่งขันไปอีกหลายเดือนก่อนจะกลับคืนสู่การแข่งขันอีกครั้งในรายการคอรต์หญ้าเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ 500 "ควีนส์" (Queen’s Club Championships) ณ กรุงลอนดอน[31] ก่อนที่จะตกรอบที่ 2 โดยแพ้ให้กับ มัตเตโอ แบร์เรตตีนี จากอิตาลี เขากลับมาลงแข่งขันแกรนด์สแลมเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีในรายการวิมเบิลดันในฐานะผู้เล่นที่ได้รับสิทธิ Wild Card (ผู้เล่นที่ไม่ได้รับการจัดอันดับแต่ได้สิทธิลงแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ)

มาร์รีได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงของสหราชอาณาจักรในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล

แหล่งที่มา

WikiPedia: แอนดี มาร์รี http://www.atptour.com/en/news/finale-2016-final-d... http://www.atptour.com/en/players/andy-murray/mc10... http://www.atpworldtour.com/Press/Rankings-and-Sta... http://www.atpworldtour.com/Tennis/Players/Top-Pla... http://www.atpworldtour.com/en/players/andy-murray... http://www.protennislive.com/posting/ramr/career_p... http://www.protennislive.com/posting/ramr/current_... http://www.theguardian.com/sport/2010/jun/29/andy-... http://www.theguardian.com/sport/2018/jan/08/andy-... http://www.ukwhoswho.com/view/article/oupww/whoswh...